ภาคต่อของทหารรับจ้างที่รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ในปฏิบัติการที่อินเดีย หลังจากโดนยิงที่คอ ตกลงไปในแม่น้ำ และ Somehow รอด ได้รับมอบหมายภารกิจใหม่ให้ช่วยเหลือครอบครัวคุณแม่ลูกสองจากดูหนังออนไลน์ในคุก ภายใต้น้ำมือของแก๊งอันธพาลชาวจอร์เจียผู้โหดเหี้ยม หลังจากภาคแรกในปี 2020 ที่เป็นผลงานกำกับครั้งแรกของผู้กำกับ แซม ฮาร์เกรฟ (Sam Hargrave) ผ่านมา 3 ปี ฮาร์เกรฟก็ยังไม่ได้มีผลงานเรื่องอื่นเลยราวกับ ‘Extraction 2’ ได้รวมความสนใจทั้งหมดในชีวิตของเขาเอาไว้ ด้วยความทะเยอทะยานที่มากกว่าเดิมทั้งจำนวนทีมงาน ฉากลองเทคกว่า 20 นาที ออกกองถ่ายทำใน 3 ประเทศด้วยสเกลขนาดใหญ่ตั้งแต่คุก รางรถไฟ ไปจนถึงตึกระฟ้า
แม้ว่าอนาคตเราอาจจะได้เห็นหนังเรื่องอื่นที่อยู่ในขั้นเตรียมงานสร้างที่ออกนอกจักรวาลของ ‘Extraction’ บ้าง เช่น ซีรีส์แนวแอกชันระทึกขวัญกลางทุ่งหิมะ ‘The Last Frontier’ ที่จะแสดงนำโดย เจสัน คลาก (Jason Clarke) และหนังซูเปอร์ฮีโร ‘Prophet’ จากค่าย Image Comics เจ้าเดียวกับคอมิก ‘The Walking Dead’ ที่ฮาร์เกรฟจะได้ร่วมงานกับ เจก จิลเลนฮาล (Jake Gyllenhaal) ซึ่งก็คงเป็นเรื่องของอนาคต แต่ก็ช่วยให้เห็นได้ว่าฮาร์เกรฟไม่ใช่ผู้กำกับที่ถูกมองข้ามจากค่ายดูหนังออนไลน์ แต่เขาเลือกใส่พลังเต็มที่กับ ‘Extraction 2’ เรื่องนี้มากขนาดไหน
หนังเป็นการร่วมงานกันอีกครั้งของฮาร์เกรฟกับมือเขียนบทอย่าง โจ รุสโซ (Joe Russo) ผู้กำกับและมือเขียนบท ‘Avengers: Endgame’ (2019) โดยดัดแปลงจากกราฟิกโนเวล ‘Ciudad’ ที่มีฉากหลังในเมืองซิวดัด เดล เอสเต (Ciudad del Este) เมืองเสื่อมทรามทางศีลธรรมของปารากวัย ซึ่งพลอตก็ถูกหยิบมาใช้แบบหลวม ๆ จากซิวดัดเมืองอันตรายในกราฟิกโนเวล มาเป็นประเทศบังกลาเทศที่ออกโทนร้อนแบบประเทศโลกที่สามในหนังภาคแรก และมาสู่อดีตโซเวียตอย่างสาธารณรัฐจอร์เจียที่ออกโทนเย็นเหน็บหนาวตัดกันอย่างสิ้นเชิงในหนังภาคนี้ โดยยังคงยึดเส้นเรื่องง่าย ๆ ของการช่วยเหลือคนอ่อนแออย่างเด็กหรือผู้หญิงหลบหนีกลางดงศัตรูที่อยู่ทุกที่ เปิดทางให้ใส่ฉากแอ็กชันตระการตาตลอดทั้งเรื่องได้อย่างดี และน่าจะเป็นธีมสำคัญที่ทำให้โดดเด่นต่างจากการดูหนังออนไลน์ประเภทเดียวกันเรื่องอื่น
พอมีภาคนี้มาต่อยอดก็ทำให้เห็นภาพชัดขึ้น และอาจพอนิยาม ‘Extraction’ ได้ว่า เป็น ‘Black Hawk Down, but John Wick’ ในภาคนี้นอกจาก คริส เฮมเวิร์ธ (Chris Hemsworth) จะมารับบทเดิม พระเอก ที่แทบจะโชว์เดี่ยวในหนังภาคแรก ในภาคนี้จะได้เห็นผู้ช่วยอย่าง นิก ข่าน (กอลชิฟเทห์ ฟาราฮานี – Golshifteh Farahani) และน้องชายของเธอ แยซ (อดัม เบสซา – Adam Bessa) ที่เคยปรากฏตัวในภาคแรกมาแล้วจะมีบทบาทมากขึ้นขนาดเป็นตัวนำร่วมได้เลย และมีฉากโชว์ความสัมพันธ์พี่น้องตระกูลข่านที่ทำได้น่าจดจำมากด้วย
นอกจากนี้หนังยังเพิ่มความเป็นบล็อกบัสเตอร์ โดยได้สาวบอนด์ โอลกา คูรีเลนโก (Olga Kurylenko) จาก ‘Quantum of Solace’ (2008) และยังได้ อิดริส เอลบา (Idris Elba) จาก ‘Thor’ มารับบทสำคัญที่อาจส่งผลต่ออนาคตของแฟรนไชส์ ซึ่งคงต้องขอให้ไปรับชมในเรื่องกันเอง หนังออนไลน์ใบ้ได้เพียงว่าคูรีเลนโกมาช่วยเพิ่มมิติมนุษย์ให้พระเอก ส่วนเอลบามาขยายจักรวาลของเรื่องให้กว้างขึ้นไม่ต่างจาก นิก ฟิวรี ในมาร์เวล
ฝั่งวายร้ายในภาคนี้ก็เพิ่มดีกรีความโหดได้น่าดึงดูดทั้งวายร้ายหลักอย่าง ทอร์นิเก โกกริเชียนี (Tornike Gogrichiani) ที่มีความเป็นมาเฟียและเจ้าลัทธิที่ทำให้ผู้ติดตามยอมถวายชีวิตให้ โดยมีมิติตัวละครที่น่าดึงดูดไม่ใช่แค่วายร้ายสีดำทื่อ ๆ ส่วนในฝั่งสมุนสายบู๊ก็ยังได้สายสตันท์แมนเช่น แดเนียล แบร์นฮาร์ดต์ (Daniel Bernhardt) และสแตนด์อินของเฮมเวิร์ธอย่าง จัสติน โฮเวลล์ (Justin Howell) ก็ได้มารับบทเบื้องหน้าเต็มตัว รวมถึงนักมวยปล้ำอาชีพ เลวาน ซากินาชวิลี (Levan Saginashvili) ซึ่งต้องบอกว่าหนังออกแบบแต่ละตัวละครให้มีจุดเด่นในฉากแอ็กชันได้ดี ยิ่งซากินาชวิลีนี่คือดึงจุดเด่นร่างกายใหญ่โตกลายเป็นรถถังติดปืนกลเดินได้เลย